เช็กระยะรถยนต์สำคัญอย่างไร มีข้อดีอะไรบ้าง แล้วควรเช็กเวลาไหน?

Free Man in Black Jacket Standing Beside Silver Car Stock Photo

รถยนต์จะมีความเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการใช้งาน จึงต้องดูแลรักษาไม่ใช่ใช้อยู่อย่างเดียว หากไม่ใส่ใจไม่ดูแลและบำรุงรักษาอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ รวมถึงยังจะทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ เกิดการสึกหรอก่อนเวลา ซึ่งวิธีดูแลรักษารถยนต์ที่ดีที่สุด คือการเช็กระยะรถยนต์ตามกำหนด ไปดูกันว่าการเช็กระยะรถยนต์สำคัญอย่างไร แล้วควรเช็กอะไร เวลาไหนบ้าง?

เช็กระยะรถยนต์สำคัญอย่างไร?

การตรวจเช็กระยะรถยนต์ เป็นการตรวจเช็กอะไหล่ และส่วนต่างๆ ของรถยนต์ว่ายังมีสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ มีความผิดปกติส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าให้พูดง่ายๆ การตรวจเช็กระยะรถยนต์ก็คือการบำรุงรักษารถยนต์อย่างหนึ่ง เนื่องจากการใช้งานรถยนต์ทุกๆ วันทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ อาจทำให้อะไหล่บางชิ้นสึกหรอจนส่งผลต่อระบบอื่นๆ การตรวจเช็กระยะรถยนต์ เป็นการยืนยันว่าทุกส่วนพร้อมใช้งาน และเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากความขัดข้องของเครื่องยนต์ ด้วย

เช็กระยะรถยนต์ ควรเช็กอะไร เวลาไหนบ้าง?

ในการตรวจเช็กระยะรถยนต์ สามารถตรวจได้ทั้งระยะทางและระยะเวลา ซึ่งแต่ละช่วงก็จะมีการตรวจเช็กที่แตกต่างกันไป

ในระยะทุกๆ 5,000 กิโลเมตร ( ประมาณ 1- 6 เดือน)

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
  • ตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์
  • ตรวจเช็กระบบจานเบรกและผ้าเบรก
  • ตรวจเช็กการทำงานของหัวฉีด
  • ความสะอาดของคอยล์ร้อน

ในระยะทุกๆ 10,000 กิโลเมตร ( ประมาณ 6-12 เดือน)

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
  • ตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์ สลับยางพร้อมถ่วงล้อ
  • ตรวจความเสื่อมสภาพของที่ปัดน้ำฝน
  • ตรวจเช็กระบบเบรกและระบบคลัตช์
  • ตรวจเช็กโช๊คอัพ หน้า – หลัง

ในระยะทุกๆ 20,000 กิโลเมตร ( ประมาณ 12-24 เดือน)

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์
  • ตรวจเช็กระยะช่องว่างของวาล์ว
  • ตรวจเช็กความตึงและหย่อนของสายพานขับและสายพานเครื่องยนต์
  • ตรวจเช็กระบบช่วงล่าง ตั้งแต่ระบบบังคับเลี้ยว ระบบคันชัก-คันส่ง ลูกหมาก

ในระยะทุกๆ 40,000 กิโลเมตร ( ประมาณ 24- 36 เดือน)

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ น้ำมันพวงมาลัย น้ำมันเกียร์ออโต้
  • เปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์
  • ตรวจเช็กและเปลี่ยนสายพานขับปั๊ม สายพานแอร์
  • ตรวจเช็กและเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

ในระยะทุกๆ 60,000 กิโลเมตร ( ประมาณ 36 เดือน)

  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
  • ตรวจเช็กแบตเตอรี่
  • ตรวจเช็กและเปลี่ยนสายหัวเทียน
  • ตรวจเช็กระบบที่เกี่ยวข้อกับหม้อน้ำ
  • ทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์

ในระยะทุกๆ 100,000 กิโลเมตร ( ประมาณ 60 เดือน)

ในระยะนี้ถือว่ารถยนต์ถูกใช้งานมานานพอสมควร อะไหล่บางชิ้นอาจเกิดการสึกหรอ ดังนั้นจึงควรตรวจเช็กทุกส่วน เพื่อทำการซ่อมหรือเปลี่ยนโดยเฉพาะ

  • ตรวจเช็กสายพานไทม์มิ่ง สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
  • ตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์
  • ตรวจเช็กระบบของเหลวในรถทั้งหมด
  • ตรวจเช็กระบบการทำงานของหม้อน้ำทั้งระบบ

 การตรวจเช็กระยะรถยนต์ ดีอย่างไร?

  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ที่เกิดจากความผิดปกติของรถยนต์ ทำให้รู้สึกมั่นใจในการขับขี่
  • ช่วยยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆ เพราะชิ้นส่วนทุกชิ้นมีอายุการใช้งานจำกัด
  • ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลง ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม

อย่างที่บอกไปว่าการตรวจเช็กระยะรถยนต์ตามระยะหรือเวลาที่กำหนด จะช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย แต่จะอุ่นใจมากกว่าหากทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เอาไว้ด้วย อีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้คุณอุ่นใจในทุกๆ การขับขี่ จะใกล้ไกลก็หายห่วง เพราะสามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ 24 ชั่วโมงหากเกิดเหตุฉุกเฉิน สนใจทำประกันชั้น 1 สามารถทำผ่าน Rabbit Care ได้ที่ www.rabbitcare.com พร้อมรับสิทธิพิเศษอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชม., บริการเช่ารถสำรองเมื่อรถเข้าศูนย์ฟรี 3 วัน, มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือผ่านระบบ LINE OA  รวมถึงยังเคลมง่าย ซ่อมไว มีศูนย์ซ่อมอยู่ทั่วประเทศ